Mangkapon

Mangkapon
The Monster Rock Band

วันจันทร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

การผจญภัยที่ถนนข้าวสาร ปี พ.ศ. 2546

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณปลายปี พ.ศ. 2546 ผมลองคิดดูเล่นๆ ว่าถ้าเกิดมีสัตว์ประหลาดออกไปขายของที่ถนนข้าวสาร ผู้คนจะให้การสนับสนุนกันดีหรือไม่ จริงๆ แล้วก่อนที่จะไปครั้งนี้เราเคยไปมาก่อนทีนึงแล้ว แต่เป็นการไปกันสองคนผมกะอ๊อด ผมใส่แมงกะโปน อ๊อดใส่กาวินแมน เอาโปสการ์ดไปขาย มีเด็กมาช่วยคนนึงป่านนี้คงโตแล้ว ก็เดินขายของกันในนั้นสนุกสนาน เหงื่อหยดติ๋งแต่ได้ประสบการณ์อันมีค่ามหาสนุกครับ ต่อไปนี้เป็นเรื่องราวการไปเยือนถนนข้าวสารครั้งที่สอง ครั้งนี้ผมใส่ชุดไปคนเดียว อ๊อดเป็นคนถ่ายภาพ

วันนั้นเอาตุ๊กตาไปขาย ตัวละ 40 บาท ทีแรกตั้งกัน 39 บาท เหมือนตามตลาดนัด แต่ว่าขี้เกียจหาเหรียญบาททอน เลยปัดขึ้นไปเป็นเลขลงตัว


ถ่ายรูปหน้ากองอำนวยการ ถ้าตอนนี้ไปถ่ายอีก คงมีการค้นตัวกันน่าดู


ส่วนใหญ่มาขอถ่ายรูป พอเสนอของโบกมือไม่เอา 40 บาทเองนะ สนับสนุนหน่อยสิ


แล้วก็เจอสปอนเซอร์หนึ่งรายที่ร้านแห่งนึง พ่อของน้องคนนนี้ซื้อให้ลูกไปหนึ่งตัว 40 บาท


เดินวนไปสองรอบยังไม่มีคนซื้อเพิ่ม นั่งพักเหนื่อยก่อนดีกว่า


เดิน ต่ออีกรอบ ก็ยังเหมือนเดิม มีแต่คนขอถ่ายรูป ไม่มีคนซื้อ เหงื่อหยดติ๋งๆๆ ใส่ตา จนแสบตาไปหมด คุ้มมั้ยวะเนี่ย สงสัยต้องนอนมันแถวนี้หละ นักดนตรีข้างหลังขอที่ผมหน่อยนะ จะนอนแล้ว


ฮึด สู้ขึ้นมาอีกรอบ เดินต่อ ไปเจอฝรั่งสาวสองคนนี้ สงสัยชะตาเราจะถูกกับของนอก เธอขอถ่ายภาพแล้วให้ติ๊บมาสองร้อย โห ใจดีจัง เราเลยให้ตุ๊กตาไปคนละตัว


ตอน ที่ฝรั่งจ่ายตัง มีขอทานคนนึงเห็น มันรีบตรงดิ่งเข้ามาหาเรา แล้วมาขอตัง พี่ขอร้อยนึง ไอ้ห่าเอ้ย มึงเป็นใครวะเนี่ย กูเหนื่อยแทบตายกว่าจะได้สองร้อย อยู่ดีๆ มึงมาขอครึ่งนึงเลย เงินร้อยนึงในภาวะปกติมันไม่เยอะหรอก แต่ถ้าคุณลองทำอะไรที่มันเหนื่อยยากแล้วได้มา คุณจะเห็นคุณค่าของมันมาก ผมโวยมันไป บอกว่าพี่เล่นง่ายดีนะ ผมทำเหนื่อยแทบตาย ถ้ามาช่วยกันทำงานจะไม่ว่าเลย มาใส่ชุดให้หน่อยได้มั้ยพี่ ว่าแล้วมันก็เดินออกไป

สรุปยอดคืนนั้น 240 บาท ยังไม่หักค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ใครสนใจทำตามลองทำดูครับ งานแบบนี้ห้ามขึ้นแทกซี่ไปกลับครับ รถเมล์เท่านั้นจึงคุ้ม

ย้อนอดีตมาร์คฟิวเจอร์ พ.ศ. 2546

สิ่งที่จะนำเสนอต่อไปนี้ อาจจะเหมือนฉายหนังซ้ำ แต่มันก็ต้องทำอย่างนั้นเพราะข้อมูลเก่าหายไป เราก็ต้องมาเริ่มกันใหม่อีกที ถ้าเป็นประโยชน์ก็เก็บไว้พิจารณาครับ ถ้าไม่เป็นประโยชน์ก็ปล่อยให้ผ่านๆ ไป ผมเองก็เหมือนกับคนอื่นๆ ที่มีความฝัน อยากทำสิ่งที่ตัวเองอยากทำ ถึงแม้มันไม่เริดหรูนัก แต่มันก็ยังดีกว่าที่จะปล่อยโอกาสให้ผ่านไป

ย้อน กลับไปเมื่อปลายปี พ.ศ. 2546 หรือต้น 2547 ประมาณเนี้ย ก็ได้มีโอกาสรู้จักกับคุณแพงพวยคือคนที่ออกแบบอุลตร้าแมนมิลเลเนี่ยม อีลิท ให้กับไชโย แล้วแกก็พาไปหาพี่ต้อม อวยพร เมฆกระจาย (ปัจจุบันเสียชีวิตไปแล้ว) ซึ่งพี่ต้อมตอนนั้นแกกำลังมีโปรเจคทำฮีโร่ไทยโดยได้พูดคุยกับพี่อุ๋ย ซึ่งเคยทำอยู่ที่ไชโยโปรดักชั่น แต่ยังติดขัดเรื่องงบประมาณ ผมพาอ๊อด กาวินแมนเข้าไปคุย เพื่อนำเสนอ ตกลงกันว่าจะออกแบบทำชุดใหม่ โดยคุณแพงพวยเป็นคนออกแบบ คุยกันเรียบร้อยวันนั้นยังไม่ทันกลับบ้านผมก็ทะเลาะกับแฟนของอ๊อดเรื่อง ลิขสิทธิ์ เหมือนกับว่าผมเป็นคนที่มาทีหลังแล้วจะมาฉกฉวยส่วนแบ่งไป มันคือปัญหาหลักของมนุษย์เดินดินเรานี่แหละครับ ผลประโยชน์ ทั้งๆ ที่ยังไม่ทันพูด ยังไม่ทันได้เกิดโปรเจคเป็นเรื่องเป็นราว ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาจะเอาหรือเปล่า ผมเลยบอกเขาไปว่า ผมจะเอาในส่วนที่อยู่ในความรับผิดชอบของผมเท่านั้น

ผ่านไปสองวัน พี่ต้อมโทรมาหาผม บอกว่าวันเสาร์ออกกองเลย เฮ่ย อะไรมันจะเร็วขนาดนั้นพี่เขาบอกว่าตอนนี้ทางเขาพร้อมทางโปรดักชั่น ทางเราพร้อมเรื่องชุด จะรอไปทำไม และที่สำคัญตัวที่จะถ่ายนี้จะเป็นตัวทรีเซอร์ที่จะนำไปเสนอกับเจ้าของค่าย หนังแผ่นก่อนว่าเป็นอย่างไร การถ่ายทำขอให้เก็บเป็นความลับห้ามบอกคุณแพงพวยกับพี่อุ๋ยนั่นไง.... มันเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้เราเองต้องลำบากใจ เพราะถ้าทำไปเราก็เหมือนทรยศกับคนที่เขาพาเรามา

ผมนั่งคิดนอนคิดว่า ทำไงดี เพราะถ้าวันนึงสองคนนั้นรู้ ผมก็หมาอยู่ดี อย่ารอเลย ผมเลยโทรไปสารภาพกับคุณแพงพวย ว่ามันเกิดเหตุการณ์ยังงี้ขึน เขาบอกว่า ทำไปเลย ในเมื่อเป็นความต้องการของพี่ต้อมแสดงว่าเขาคิดอะไรไว้ในใจแล้ว ขอบใจมากที่มาบอก อืมม... ผมเองก็กลัวผิดใจกัน เพราะของยังงี้มันเป็นเรื่องของความเห็น ในเมื่อเปิดทาง ผมก็ไปตามน้ำละกัน

ก่อน วันเสาร์มีนัดถ่ายภาพนิ่ง ทุกอย่างเต็มไปด้วยความรีบเร่ง ไม่รู้จะเร่งกันไปทำไม สมัยก่อนผมไฟแรงมาก ไอ้ชุดที่เห็นว่าห่วยเฮงซวยน่ะ คืนเดียวทำเสร็จ ด้วยคนเดียว ไม่หลับไม่นอน เช้ามาเขามารับยังต้องให้คนอื่นมานั่งช่วยเอาไดเป่ายางให้แห้ง

รู้สึก ว่าปัญหาระหว่างผมกะแฟนอ๊อดยังไม่จบ เธอยังพูดจาไม่เข้าหูจนเกือบทะเลาะกัน เราเองก็ยังพอมีสติที่จะให้งานมาก่อนเรื่องความขัดแย้ง ชนวนมันมาจากเรื่องผลประโยชน์ตัวเดียวแท้ๆ ผมบอกอ๊อดไปว่า บอกเมียมึงด้ว ย สิทธิกาวินแมน กูไม่ได้อยากได้ส่วนแบ่ง มึงได้มามึงก็ไปให้เมียมึงละกัน

ไม่ มีการพูดคุยกันเรื่องผลประโยชน์ระหว่างทางเรากับพี่ต้อม ทุกอย่างทำไปอย่างรีบเร่ง ถ่ายภาพนิ่ง โชะๆๆๆๆๆ มาราธอน แล้วก็กลับบ้าน รอวันเสาร์ เพื่อออกกอง ถ่ายทำทรีเซอร์

วันเสาร์ผมก็ไม่ได้นอนอีกตามเคย เพราะลุยทำชุดสัตว์ประหลาดเพิ่ม เพื่อให้มีหลายๆ ตัว ทีมงานมารับผมที่บ้านตอนตีห้า ออกเดินทางไปจังหวัดนครนายก ที่นั่นเป็นที่ที่คนทำหนังไทยรุ่นเก่าชอบมาถ่ายกัน เพราะรู้จักคุ้นเคยกับคนท้องที่ ระเบิดป่า เผากระท่อม ทำได้เต็มที่

กว่า จะเตรียมข้าวของ กินข้าว ดูโลเคชั่น วางแผนงานกัน ได้ถ่ายก็ซัดไปเที่ยงตะวันตรงกบาลพอดี แล้วชุดเราก็อย่างหนา ผมยินดีเป็นอย่างยิ่งที่มีสตั๊นมาใส่ให้ คนที่ได้รับคัดเลือกมาใส่ชุดสัตว์ประหลาดของผม ตัวผอมๆ สูงๆ ดูไม่น่ารอด แต่มันบอกผมว่า โธ่พี่ ผมเกิดมาเพื่อสิ่งนี้เลยนะ ชุดพี่นี่แม่ม แนวจริงๆ ว่างๆ ผมขอยืมใส่ไปเดินเล่นหน่อยนะ ยังพูดกันเล่นอยู่

การทำงาน ทุกอย่างต้องรวดเร็วฉับไว เพื่อให้ปิดกองได้ภายในหนึ่งวัน จ่ายค่าแรงกันคิวเดียว ซึ่งตอนนั้นผมเองกะอ๊อดก็ยังไม่เข้าใจว่าระบบคิวมันเป็นยังไง ช่วงเที่ยงนี่ก็เป็นคิวของสัตว์ประหลาด ก็เป็นการทดสอบระยะกล้อง วางคิวเดิน


ดูชุดกันใกล้ๆ สมัยก่อนใช้เงินส่วนตัวทำ มีเงินน้อยก็ทำได้แค่นี้ ของทำในครัวเรือน หัวสัตว์ประหลาดขึ้นโครงบนโถชักโครกครับ ทำในห้องน้ำ ไม่ได้ไปจ้างใครทำ


ขอให้สังเกตเงานะครับ สั้นๆ แดดเปรี้ยงๆ เต็มกบาล กลางแจ้ง ในเดือนที่ร้อนสัดๆ ประมาณเดือนนี้แหละครับ


อุปกรณ์ที่นั่นมีครบ ทั้งเครน ทั้งดอลลี่ ทีมงานยกกันมาทั้งบริษัท


หลังจากที่ถ่ายตรงทางลงเขานี่เสร็จ ก็จะไปถ่ายอีกที่นึง เป็นเนินสูง ทีมสตั๊นเตรียมพร้อม


คน ที่ใส่ชุด พอมันรู้ว่าจะมีการฝังเอฟเฟคที่ชุดสัตว์ประหลาด มันเลยเดินมาหาผม พี่ครับ ใส่ชุดให้ผมหน่อย ผมร้อน หาคนแทนไม่ได้ ผมก็เลยเปลี่ยนกะมันใส่ชุดแทนให้

แล้วผมก็เดินไปให้คนทำเอฟเฟคฝัง ระเบิดตามชุด ผมเองก็พอรู้อยู่นะว่ายางเนี่ย เวลาติดไฟแล้วมันดับยาก จะหวังเอาเครื่องดับเพลิงมาฉีด ไม่มีละครับ มีแต่ทราย กับตีนเขาเหล่าทีมงาน ช่วยกันเขี่ยช่วยกันกระทืบเพื่อดับไฟ โชคดีที่เทคเดียวผ่าน แต่ก็ทิ้งร่อยรอยไหม้ไว้ที่ชุด หลังจากพ้นฉากอันตราย สะตั้นมันก็กลับมาใส่ตามเดิม..... หน้าที่ใครกันแน่วะ???

อ๊อดไม่ยอมน้อยหน้าขอใส่ชุดกาวินแมนเองบ้าง ถ่ายอยู่หลายเทคไม่ผ่าน พี่อ๊อดไม่ยอมใช้สะตั๊น เพื่อให้เห็นสปิริทอันแรงกล้ว ผมไปกินข้าว หลบแดด กินน้ำ ผ่านไปสองชั่วโมงกลับมา ฉากนั้นก็ยังไม่ผ่าน อ๊อดเหงือตกกีบ สุดท้ายต้องยอมเปลี่ยนให้สะตั้นใส่แทน เพราะไม่รู้คิวกัน


พอ ถ่ายฉากนั้นจบ ก็เป็นฉากปล่อยอาวุธยิงแสงทำลายล้างกัน ท่าทางจะมัน ฉากนี้ย้ายไปที่ตีนเขาที่เขาขุดเป็นช่องเอาไว้ สะเก็ดก้อนหินเยอะน่าดู


การ ปล่อยแสงของทีมนี้เขาไม่ใช้ CG ครับ เป็นระเบิดก้อนจริง ก็ดินปืนชนิดไม่มีสะเก็ดน่ะครับ ต่อชนวนเข้าไป จุดระเบิดด้วยแบตเตอรี่รถยนต์ ก่อนจะทำการระเบิดต้องไปเคลียร์สถานที่ไม่ให้มีก้อนหิน ขวด หรือไม้ที่จะเป็นอันตราย เพราะเวลาระเบิดของพวกนี้ก็จะกระเด็นใส่นักแสดง ดูจากโลเคชั่นคงหลบเลี่ยงก้อนหินยาก เอาระเบิดฝังไว้ก่อน วางมาร์คกิ้งแล้วให้นักแสดงถอยออกมา ดูการรักษาชุดทำมาหากินของสตั๊นนะ มันโยนทิ้งเลย


ดูภาพการระเบิดจากคลิปในยูทูปแล้วกันนะครับ ส่วนฝ่ายตัวพระเอกเราก็จะเป็นฝังระเบิดควัน


การถ่ายทำตั้งแต่เที่ยงยันเย็น สะตั้นตัวผอมๆ นั่น มันไม่ได้พักเลย หลังจากที่เปลี่ยนกะผมใส่ แล้วมันก็ร่วงลงไปกองกะพื้น...


ขอบอก ว่าวันนั้นสะตั้นมากันเป็นสิบคน แต่ใส่ชุดช่วงเช้ามีแต่ไอ้หมอนี่แล้วก็สตั๊นที่ใส่กาวิน รู้สึกว่าสะตั้นกาวินมีอีกคนนึงใช้ตอนตีลังกาด้วย สะตั๊นคนอื่นๆ ที่มาเห็นมันวิ่งไล่เตะกันสนุกสนาน เป็นงานที่สบายมากเลย....

หลังถ่ายช่วงกลางวันถึงเย็นเสร็จ เราถ็ชักภาพถ่ายรูปกันเป็นที่ระลึก


นึก ว่าจะกลับบ้านกันแล้ว ที่ไหนได้ มีถ่ายช่วงค่ำ ตอนนั้นผมยังใช้กล้องกระจอกอยู่ เลยถ่ายกลางคืนไม่ได้ ดูเอาในยูทูปละกันครับ ตามลิงค์นี้


คืนนั้นเหมือนออกค่ายลูกเสือ มันคืออุทยานแห่งชาติวังตะไคร้ กองถ่ายหาโลเคชั่นตั้งเครนกัน แต่ปรากฏว่ากิ่งไม้ของอุทยานแห่งชาติขวางหูขวางตา เขาก็ตัดทิ้งกันไปเลย...ฉากฝังเอฟเฟคในน้ำเราดูกันสะใจ แต่หลังจากถ่ายทำสิ่งที่ตามมาคือปลาลอยอืดในน้ำเป็นแพ

คืนนั้นส่วน ใหญ่ผมใช้เวลากับการพูดคุยกับทีมงานในนั้น ผมศรัทธาผู้กำกับมาก แกเป็นคนที่มีทัศนะและความสามารถที่ดีเยี่ยมในสายตาของผม แต่ไม่ขอเอ่ยชื่อท่านผู้นี้ละกัน เพราะในที่สุดเราก็มามีปัญหาในภายหลัง อันจะกล่าวถึงในคราวต่อๆ ไป

ผู้กำกับท่านนั้นกล่าวว่า น้อง... งานของพวกน้องนี่แหละเป็นของจริง คนอื่นที่เสนอมามันเป็นแค่งานบนกระดาษใช้งานอะไรไม่ได้ ผมบอกว่า แต่ชุดที่เรามาถ่ายกันยังไม่ดีพอนะครับ ผู้กำกับตอบว่า ตอนนี้เรามีทุนแค่นี้เราได้แค่นี้ ใครจะว่าไม่ดี ก็ดีกว่าไม่ได้ทำ ลองเรามีทุนมากเหมือนคนอื่นเราจะทำให้ดีกว่าเขาก็ทำได้ เออ...เนอะ พวกเรารู้สึกหลงรักผู้กำกับคนนี้ขึ้นมาทันที แกมีวิธีการพูดหว่านล้อมเอาใจคนเก่งมาก

จริงๆ แล้วอ๊อดอยากเล่นเป็นตัวพระเอกที่ยังไม่แปลงร่าง แต่พี่ต้อมก็เอานักแสดงสุดหล่อร่างใหญ่เทรนเกาหลีมาเล่นแทน ผมเคยเห็นเขาเล่นโฆษณาแป้งเย็นอยู่ครั้งนึง นึกชื่อไม่ออกเหมือนกันว่าชื่ออะไร แต่บางทีการไปกังวลกับพระเอกหุ่นดีหน้าหล่อ แล้วเอาสะตั๊นตัวเตี้ยม่อต้อมาเล่นเป็นตัวตอนแปลงร่างมันขัดๆ ยังไงกันพิกล แต่อย่างว่านะ มันไม่ใช่เงินเรา เขาจะจ้างใครมา มันเรื่องของเขา

คืน นั้นฉากต่อสู้กันรู้สึกว่ามันมาก เพราะทีมสะตั้นมันไม่เหนื่อยเหมือนตอนกลางวัน ตอนฉากพระเอกขี่มอเตอร์ไซค์ แล้วมีระเบิดตามนี่ มีชิ้นส่วนบางอันกระเด็นเป็นไฟลามทุ่ง หน้าที่ของทีมสะตั้นแสดงให้เราเห็นแล้ว พวกเขาคือเครื่องดับเพลิงอย่างดี ที่ไหนมีไฟ ที่นั่นมันตามไปกระทืบ ตี๊บๆๆๆๆ โห ดีกว่าซื้อแบบเป็นถังอีก

คืน นั้นปิดกอง เอาดึกมาก และช่วงนั้นรัฐบาลประกาศไม่ให้จำหน่ายน้ำมันหลังเที่ยงคืน ทำให้พวกเราลำบากกันมาก โดยเฉพาะผมที่ขนสัตว์ประหลาดไปหลายตัวถูกปล่อยลงกลางทางให้ไปโบกแท๊กซี่ แม่ม.. นึกแล้วสงสารตัวเองจริงๆ ไม่รู้ว่าผ่านวันนั้นมาได้ยังไง

หลังจากวันนั้นผ่านไป พวกเราก็ตั้งตาคอยภาพผลงานในวันนั้นอย่างใจจดใจจ่อ หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป ผมโทรไปหาพี่ต้อม แกบอกว่า บริษัทหนังสนใจ แต่ติดว่าถ่ายกาวินแมนออกมาแล้วเหมือนกล่องกระดาษ ดูไม่เท่ห์ อยากให้ออกแบบใหม่ พี่ต้อมให้ผมไปคุยกับอ๊อดว่าค่าลิขสิทธิ์ในการนำมาสร้างหนังเท่าไร

ผม กลับไปถามอ๊อดว่าเท่าไร อ๊อดบอกว่า กูคำนวณไว้แล้วกูกะแบ่งกันคนละแสน มึงแสน กูแสน แก๊บแสน (แก๊บคือเมียอ๊อดตอนนั้น) ผมบอกว่า เออ กูไม่อยากมีปัญหา มึงกะเมียมึงแบ่งกันคนละแสนห้าเลยแล้วกัน กูไปเอาตรงอื่นก็แล้วกันเหรอ เอางั้นเหรอ อ๊อดก็ว่าตามกันกะผม คือสามแสนนั้นเขารับไว้แบ่งกับเมียเขา ส่วนผมเอาในส่วนของโปรดักชั่นชุด ซึ่งตอนนั้นผมก็เข้าใจว่ายังไงผมก็ต้องได้ทำชุดทั้งหมด

พอโทรไปหาพี่ต้อม ผมก็บอกราคาตามที่อ๊อดปรารถนา สามแสนถ้วน พี่ต้อมพูดมาคำนึง....

หึ..

น้ำเสียงแบบสลดผสมเย้ยหยัน ยังไงบอกไม่ถูก แล้วแกก็วางสายไป

ผมบอกกับอ๊อดว่าเฮ้ย ท่าทางเขาจะไม่เอาว่ะ เขาไม่มีท่าทีตอบรับเลย สงสัยแพงไป มึงจะลดมั้ย อ๊อดบอก เขาอาจกำลังตัดสินใจอยู่ รอต่อไป

สาม วันก็แล้ว หนึ่งสัปดาห์ก็แล้ว มีแววว่าจะอดแดก... ได้ข่าวว่าทรีเซอร์เสร็จ ผมก็เข้าไปเอาทรีเซอร์ที่ออฟฟิต พี่ต้อมแกก็เอาหนังคาเมนไรเตอร์อากิโตะมาเปิดให้ดู แล้วก็พูดคุยกันว่า จะทำหนังไอ้มดแดง จะใช้ชื่อมาร์คไรเดอร์เลย เพราะคำว่ามาร์คไรเดอร์เป็นคำสามัญ ไม่มีลิขสิทธิ์ เอางั้นเลยเหรอ....

วัน นั้นกลับบ้านไปอย่างสิ้นหวัง เพราะคิดว่าแกเพี้ยนแน่ แล้วคืนต่อมาหลังจากวันนั้นประมาณสามทุ่ม พี่ต้อมโทรมาบอกนัดเจอกันหน่อยเดี๋ยวพาไปกินข้าว ผมไปกะแกแล้วก็ผู้กำกับ ไปคุยกันที่ร้านอาหาร กับโปรเจคใหม่ มาร์คไรเดอร์โกลด์ หน้าเป็นมดแดง แต่ชุดเป็นนักรบไทย ใช้ดาบฟ้าฟื้น เอากันเข้าไป...สนุกกันใหญ่ ผมคิดว่าเราคงมาคุยกันเล่นๆ สนุกๆ แล้วก็จบกันไป แต่คืนนั้นดูเหมือนยาวนาน...

พี่ต้อมเล่าชีวิตแกสมัยวัยรุ่น แต่ผมฟังดูแล้วเหมือนนิทานมากกว่า แกบอกว่าสมัยวัยรุ่นแกเปิดร้านขายไข่อยู่ในตลาด... แกขายดีมาก แล้ววันนึงก็มีร้านขายไข่มาเปิดอยู่ข้างๆ อีกร้านนึง มาขายแข่งกับแก ราคาถูกกว่า ลูกค้าพากันหันไปซื้อไข่ร้านข้างๆ หมด แกเลยต้องมาลดราคาแข่งกับร้านไข่ข้างๆ พอเราลด มันก็ลดตาม แล้วถูกกว่า พี่ต้อมบอกว่า พี่เลยทั้งลดทั้งแถม มันก็ยังแถมตาม ตอนหลังพี่ยอมขาดทุน แจกฟรี จนร้านขายไข่ข้างๆ มันอยู่ไม่ได้ เจ๊งก่อน เปิดหนีไป... แกเลยกลับมาขายได้ดีเหมือนปกติ ผมฟังจบ ผมคิดว่า เอ... แกพยายามจะสื่ออะไรกับเรา กูงงว่ะ แล้วก็บอกว่า ธุรกิจมันต้องเจ๊งก่อน เพื่อความสำเร็จของอนาคต ใครทนได้นานสุดคือผู้ชนะ อ้อ... ยังงี้นี่เอง แกพยายามบอกผมว่า ถ้าผมจะทำธุรกิจกับแกให้ยอมเจ๊งก่อน เพื่ออนาคตที่สดใส แต่ก็ไม่ไหวนะพี่นะ เอาเป็นว่าจะทำให้ถูกที่สุดเท่าที่จะทำได้ละกัน ผมเสนอราคาพร้อมออกแบบไปที่สองหมื่นห้า แกเงียบ... แล้วบอกว่า ลองไปออกแบบมาให้ดู

ผมลองขีดๆ เขียนๆ อยู่สองสามวัน แล้ววันที่สามแกก็โทรมาบอกว่า ไม่ต้องออกแบบหรอก ทำได้เลย ให้ออกมาเหมือนอย่างที่คุยกันวันนั้น ว๊าว.... และวันนั้น โปรเจคมาร์คไรเดอร์โกลด์ก็ถือกำเนิดขึ้น

สองหมื่นห้า ดูเหมือนว่าเยอะ แต่ในความเป็นจริง มันเป็นการตีเผื่อการแก้ไข ซึ่งผมคิดว่ามันต้องโดนแก้หลายครั้งแน่ๆ แล้วมันก็เป็นดังคิด ครั้งแรกผมตีแพทเทินกระดาษ แล้วใช้สีโป้วมาขึ้นโครงใส่รายละเอียด ปรากฏว่าหัวนั้นหนักมากๆ และมีวี่แววชิ้นส่วนต่างๆ บนหัวจะหลุดแตกออกมา

ผู้กำกับบอกว่า ขอเป็นวัสดุที่มีความยืดหยุ่นได้ ไม่แตกหัก ทนกับการเคลื่อนไหวต่อสู้ ผ้าขอเป็นผ้าสแปนเด็กซ์ ผมก็ทำตามที่ขอมา

โครงข้างในก็ขึ้นจากกระดาษเหมือนเดิม


เคลือบยาง และใช้สีสำหรับทายางโดยเฉพาะทา


เพราะก็เช่นเดียวกัน กระดาษกับยาง


ทำเสร็จก็ใส่ไปให้เพื่อนแถวบ้านช่วยถ่ายให้


ลองขี่มอเตอร์ไซค์ดู เด็กๆ แถวบ้านแตกตื่นกันน่าดู


ทำ เสร็จไม่รอช้า ก็เอาชุดไปส่ง และลองเขวี้ยงหัวอัดกับกำแพงให้ดูเลยว่าไม่แตก วันนัดออกกอง ผมไปกับกองถ่ายด้วย แต่วันนั้นผู้กำกับเบี้ยวไม่ยอมมา เลยยกกองกลับหมด

เวลาผ่านไปเป็นเดือน ไม่มีใครติดต่อมา ผมติดต่อไปส่วนใหญ่พี่ต้อมแกก็ไม่อยู่ เลยได้สินใจไปที่ออฟฟิต เลยรู้ว่า เขาได้ทีมใหม่มาทำชุดแทนผมแล้ว ซึ่งทีมนั้นก็คือทีมไชโยเก่า โดยการแนะนำของพี่รามผู้กำกับเหยี่ยวพิฆาตที่สำคัญพี่ต้อมบอกว่าชุดละหกพัน เอง... โห... หกพัน มันทำได้ห้วยเหรอ

ปกติชุดพวกนี้ถ้ารับกันโดยทั่ว ไปอยู่ที่ประมาณสามหมื่นถึงสามหมื่นห้า แต่ถ้าเขาทำได้หกพัน ก็ถือว่าเป็นการเซฟเงินของโปรดักชั่นได้เป็นอย่างมาก แถมยังมีงานดีไซน์เป็นของแถมให้อีกด้วย


มาร์คฟิวเจอร์ตัวใหม่


ปิศาจเซ็ทใหม่


อืม ม... เราก็เข้าใจในเหตุผล ได้จับชุดจริง ก็ยังรู้สึกว่าคุ้มค่าจริงๆ ทีมมีสามคน รับชุดละหกพัน มันแบ่งกันคนละพัน หักค่าของ งานก็ไม่ใช่วันเดียวเสร็จ ผมว่าแคะหนมครกขายยังรวยกว่าเลย

ผมเข้าใจ ว่าคนเราแข่งขันกันก็เพื่อความอยู่รอด อย่างสมมติเราตั้งราคาของ 250 บาท คนอื่นขาย 100 คนก็เทไปหาอีกคน พออีกคนเห็นว่าร้อยนึงขายได้ เขาก็ขาย 70 บาท ถ้าเราจะชิงความอยู่รอดกลับ ก็ต้องอัดเข้าไป 50 บาท จนกว่าจะแพ้กันไปข้าง เหมือนนิทานเรื่องคนขายไข่ที่พี่ต้อมเล่า ฉะนั้นเรายอมถอยออกมาดีกว่า ถ้าคิดว่าไม่คุ้ม

แต่ก็ยังรู้สึกยินดี ที่ได้รับคำตอบมาว่า ชุดมาร์คฟิวเจอร์ที่ทำมาใหม่ชุดเนียนสวย แต่ใช้งานจริงไม่ได้ ขยับสองทีเกราะหลุด ต่อยไปต่อยมา ก็ต้องคอยระวังชิ้นส่วน จะตีลังกาก็ต้องคอยระวังหัวแตก ฉะนั้นเขาจึงเลือกใช้ชุดเดิมในการถ่ายทำ แล้วใช้ชุดที่ทำใหม่ เป็นชุดที่ถ่ายภาพนิ่งทำปก

ที่รถกองถ่ายก็ยังเป็นตัวเดิม


หลัง จากนั้นผ่านไปหลายเดือนจนได้เห็นวีซีดีออกมา ก็ได้ข่าวมาว่าทีมงานที่ไปทำชุด มีปัญหาอย่างแรงกับพี่ต้อมเกี่ยวกับเรื่องค่าจ้าง ผู้กำกับได้มาเฉลยกับผมทีหลังว่าไอ้ชุดทั้งหลายน่ะไม่ใช่หกพันหรอก เป็นหมื่น มันเขียนภาพมากันขนาดนั้นมีเหรอที่มันจะเรียกแค่หกพัน อืมมม... นั่นซิเนอะ

ตอนนั้นได้ข่าวว่ายอดขายวีซีดีของมาร์คฟิวเจอร์แรงมาก เพราะตอนนั้นไม่มีใครทำออกมาขาย อ๊อดเคยบอกผมว่าสิ่งนึงที่คนในทุกๆ ชาติต้องการคือความเป็นชาตินิยม ฮีโร่ไทยเป็นสิ่งที่ถือว่ามีน้อยมาก ยิ่งออกมาในยุคที่มีการประกาศสิทธิ์อุลตร้าแมนว่าเป็นของไทย คนยิ่งหันมาให้ความสนใจในฮีโร่ไทยมากยิ่งขึ้น เรียกว่าเกาะกระแสกันไป

ชุด แรกขายดี จึงรีบทำภาคสองออกมา แต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงก็คือ เปลี่ยนจากผู้กำกับคนเดิมเป็นผู้กำกับอีกคน แล้วเอาทีมสะตั้นจากไหนมาก็ไม่รู้ ลองดูภาคสองแล้วจะเห็น

งานนี้ผม ถือว่าเป็นการสนองความต้องการของพี่ต้อมแก เพราะแกก็เป็นคนรุ่นประมาณพี่ๆ ในเวบที่ทันพิริยะสาส์น แกผูกพันธ์กับเรื่องพวกนี้มาตั้งแต่เด็ก มีความตั้งใจที่จะทำหนังฮีโร่ การติดต่อกับแกครั้งท้ายสุด แกไปทักผมในเวบสมาคมผู้กำกับ แล้วก็ทิ้งเบอร์ให้โทรกลับ

ผมโทรไปคุย แกบอกว่ามีโครงการจะทำภาคที่สาม อยากให้ผมทำชุดให้ หรือไม่ก็ขอเช่าชุดมาถล่มหน่อย ก็คุยกันสนุกๆ ไป ก็ยังชวนให้ผมไปเยี่ยมแกที่ออฟฟิต แต่ช่วงนั้นผมเองก็เริ่มคิดจะเปลี่ยนแนวไปทำอย่างอื่นแล้ว

แล้วเมื่อ ไม่นานมานี้ผมก็ได้ข่าวมาว่า แกเสียชีวิตไปแล้ว ผมก็ยังอดใจหายไม่ได้ เพราะคนเคยคุยเคยร่วมคิด เคยร่วมฝันกันมา ก็เพียงแต่ขอให้พี่ต้อมหลับให้สบายครับ ถ้ามีโอกาสผมอาจกลับมาสานฝันต่อ....

ภาพโฆษณาเปิดตัว การ์วินแมน ในหนังสือบันเทิงเล่มนึง จำชื่อไม่ได้ ทางพี่ต้อมได้ส่งแอดไปลง เตรียมพร้อมที่จะทำหนังกาวินแมน แต่ติดตรงที่ค่าลิขสิทธิ์ที่สูงเกินกว่าที่จะตกลงกันได้ ถ้าเปลี่ยนจากสามแสน เป็นสามหมื่น ป่านนี้คงได้ทำไปแล้ว....


บาง ทีของพวกนี้ ถ้าไม่เคยทำมาก่อน เราจะไม่รู้เรทว่าเขาทำกันเท่าไรอย่างน้อย ถ้าเรามีแนวทางเป็นไกด์บ้าง เราก็สามารถที่จะตกลงกับเขาได้ง่ายขึ้นถือว่าเป็นบทเรียน ที่เอามาถ่ายทอดให้ได้อ่านกัน

ชุดสัตว์ประหลาดที่มีและเสื่อมสลายไป บันทึกเมื่อปี พ.ศ. 2551



ชุดสัตว์ประหลาดที่ผมสร้างมามีหลายสิบตัว แต่เนื่องด้วยบางตัวก็พังไปบ้าง ให้เขายืมไปแล้วเขาพอใจแล้วก็ยึดไว้เป็นของส่วนตัวบ้าง เอาไปรับเอฟเฟคเผาเจ๊งไปบ้าง ก็เนื่องมาจากการที่เราไว้ใจคน อยากมีผลงาน เป็นห่วงคนอื่นมากกว่าตัวเอง ผลที่เกิดขึ้นเป็นบทเรียนได้เป็นอย่างดี

นี่คือชุดบางส่วนที่เป็นของผมเอง ยังมีบางตัวที่ยังทำหัวไม่เสร็จ ตัวไม่เสร็จ เลยไม่ได้เอามาลง

1. นีโอ แมงกะโปน เป็นตัวใหม่ที่ทำขึ้นล่าสุด เพราะคุณอ๊อด กาวินแมน ไม่อยากให้ทิ้งประวัติศาสตร์นี้ไป เลยทำขึ้นมาใหม่ทั้งตัว ยังใช้เทคนิคยางพาราเดิมๆ แต่เพิ่มเรื่องรายละเอียดลงไป


2. คลาสสิค แมงกะโปน เป็นแมงกะโปนตัวเดิมที่ใช้มากว่าสามปี ปัจจุบันเหลือแค่หัวเท่านั้น


3. เอเลียล่า สัตว์ประหลาดที่จะเอามาสร้างเป็นหนัง อุตส่าห์ซื้อกล้องไฮเดฟ ลงทุนซื้อพร๊อพไปร่วมแสน แต่ไม่ได้ทำ เพราะแสนเดียวยังไงก็ไม่พอโปรดักชั่น ก็เจ๊งไปตามระเบียบ เหลือแต่ชุดไว้ดูเล่น


4. งูจ๋า ความตั้งใจดั้งเดิมของสัตว์ประหลาดตัวนี้ คือ ทางคุณต้อม ซีดีมีเดีย คนที่ทำมาร์คฟิวเจอร์ ช่วงนั้นแกโปรเจคเยอะ ผมก็บ้าพลัง วันหนึ่งแกโทรมาบอกจะเอางูอนาคอนด้า ขอพรุ่งนี้เช้า ผมเร่งงานไม่ได้หลับได้นอนทำงูมา เสร็จแล้วแกก็เงียบ อีกสัปดาห์นึงผ่านไป แกก็โทรมาบอกว่ามาที่บริษัท อยากได้ตัวพรายน้ำ ก็เข้าไปคุยกัน วาดรูปให้ดู ทำจนเสร็จ แกก็เงียบ ไม่เอา ผมเลยจับงูมาผ่ากลางตัว ทำเป็นมือซ้ายขวา หัวพรายน้ำเพิ่มลิ้นสองแฉก ช่วงที่บ้าพลัง ชุดพวกนี้ผมใช้เวลาทำสองสามวันเท่านั้น

5. ฟองมะหนวด ช่วงที่คุณชูวิทย์กำลังดังผมเห็นหน้าแกบ่อยมากทางโทรทัศน์ เลยได้แรงบันดาลใจมาทำมังกรพ่นฟองสบู่ เพราะแกเป็นเจ้าพ่ออ่าง หัวมังกรตัวนี้ทำที่บ้านเก่า ในห้องน้ำ ใช้ชักโครกเป็นตัวขึ้นรูปส่วนหัว คนที่เคยใส่ไปแล้วก็ไม่ต้องคิดมากนะครับ พอดีดูแล้วหาฐานวางที่พอดีไม่ได้ ตัวนี้ทำอยู่ประมาณเดือนนึง เพราะมีปัญหาเรื่องคอ มันโยกเยกมาก ตอนนี้ก็ยังมีปัญหาอยู่ แต่น้อยลงกว่าเมื่อก่อน ตอนแรกพ่นฟองได้ เด็กๆ ชอบกันมาก แต่พอไปออกกองถ่ายทำทรีเซอร์กาวินแมน โดนฝันเอฟเฟค แล้วทีมงานค่อนข้างฮาร์ดคอร์มาก จับสายไฟกระชากทิ้ง เขวี้ยงถ่านลงพื้นไปต่อหน้าต่อตา เห็นแล้วอยากร้องไห้ แต่ทุกวันนี้ก็ซ่อมชุดนี้จนอยู่มาได้ถึงสี่ปี ฟองที่เคยพ่นได้ ต้องรื้อออกหมด เพราะผลที่ไปออกกองในครั้งนั้น

6. หวัดนก ชื่อนี้คุณอ๊อดเป็นคนตั้งให้ เพราะช่วงนั้นหวัดนกระบาดมาก ผมทำไปก็ทำส่งเดชน่ะ อย่าคิดมากว่าผมมีคอนเซ็ปพิเศษอะไร แค่ทำให้ทันถ่ายทำทรีเซอร์กาวินแมน ชุดนี้ใช้เวลาทำสองวัน เช้ามืดก่อนวันถ่ายทำ คุณอ๊อดกะแฟนต้องมานั่งช่วยกันเอาไดร์เป่าผมเป่ายางให้แห้ง ในขณะที่ผมไปอาบน้ำ แล้วยางที่หัวก็ยังไม่แห้ง สุดท้ายตอนถ่ายจริงก็ไม่ได้ใช้ และมีมีงบประมาณสำหรับตัวนี้ ผมเป็นคนชอบทำไรล่วงหน้าโดยไม่ต้องรอคำสั่งน่ะ ทางซีดีมีเดีย เคยยืมไปสองสามวัน กลับมาก็อยู่ในสภาพดี แต่มาพลาดท่าเสียทีกับยอดผู้กำกับคิวบู๊ที่ผมศรัทธา แกบอกว่าจะขอยืมไปสักสัปดาห์หนึ่ง ผ่านไปร่วมปี ทวงแล้วทวงอีก กลับมาในสภาพที่พังยับเยิน เพราะเขาไม่เคยรักษาชุดของเราเลย ปัจจุบันปิศาจหวัดนก จึงเหลือแค่ภาพถ่ายเท่านั้น
7. ตัวนี้ไม่ได้ตั้งชื่อ จริงๆ แล้วหัวเป็นตุ่นตั้งใจทำไว้สำหรับมาร์คฟิวเจอร์ให้เป็นผู้ช่วย ได้แรงบันดาลใจมาจากตัวตุ่นในไรเดอร์อเมซอน ก็ที่พูดคุยกะคุณต้อมแกอยากได้สัตว์ประหลาดเป็นผู้ช่วยสักตัว ตอนมาร์คฟิวเจอร์ผมทุ่มเททำสัตว์ประหลาดเก็บไว้มาก ไม่ได้ใช้หลายตัว บางตัวเป็นโครงก็ต้องทิ้งทั้งหมดตอนย้ายบ้าน ทำเก็บไว้แต่สุดท้ายเขาก็เปลี่ยนคนทำ เพราะเขาคิดว่าผมคิดราคาเขาแพง แต่จริงๆ แล้วผมคิดว่า เขาหาคุ้มกว่านี้คงไม่มีอีกแล้ว เพราะบางตัวเขาก็หยิบยืมได้ วันที่ตกลงโปรเจค ผมขึ้นโครงทีเดียวห้าตัว ทำล่วงหน้า ไม่ได้คิดถึงกำไรขาดทุน ตอนนั้นไฟมันแรง หัวตุ่นนี่ก็คือส่วนหนึ่งที่ทำเตรียมไว้ แต่ไม่ได้ใช้ ต่อมาวันนึงยอดผู้กำกับที่ผมนับถือมีความคิดที่จะสร้างหนังฮีโร่ ได้วาดวิมานในอากาศให้ผมฝัน ในขณะที่ลูกน้องแกคอยเตือนผมด้วยความเป็นห่วงว่าอย่าไปลงทุนมาก ถ้ารู้เบื้องหลังแกว่าเป็นคนยังไง แล้วจะเสียใจ ผมก็กลับมาคิด เลยทำชุดแบบประหยัดสุด ใช้หัวตุ่นตัวเดิม กับชุดผ้าลายงู ค่าตัดพร้อมผ้าก็พันกว่าบาท ใช้รองเท้าบูทยางถุงมือยางมาพ่นเป็นลาย เป็นสัตว์ประหลาดที่ใช้งบน้อยมาก แต่ก็อยากเก็บไว้ใช้งานอื่นเหมือนกัน ให้เขาเอาไปถ่ายหนังด้วยความที่ว่า ห้าสิบ ห้าสิบ เตรียมใจไว้ล่วงหน้าว่าจะไม่ได้คืน แล้วก็จริงๆ อย่างที่ลูกน้องแกว่า ไม่ได้คืนจริงๆ วันที่ไปเจอแก แกบอกผมว่า แกเผาชุดนี้ทิ้งไปแล้ว ล่าสุดลูกน้องแกรายงานว่า ยังเก็บไว้ที่ห้องเช่าที่แกเก็บเอฟเฟค ผมไม่คิดไปตามคืน เพราะถือว่าได้ทำใจล่วงหน้าไปแล้ว

ที่มาของแมงกะโปน บันทึกเมื่อ ปี พ.ศ. 2551

ช่วงที่ผมไม่มีไรทำ ก็เปิดดูรายการโทรทัศน์ไปเรื่อยๆ ไปเจอรายการหนึ่งชื่อ ก๊องโชว์ ผมไปสะดุดตากับตัวประหลาดตัวนึง เขาเรียกตัวเองว่า กาวินแมน ออกมาแสดงอะไรบ้าๆ บอๆ คนเดียว กับโต๊ะที่วางอุปกรณ์ของเขา เขาแหกปากตะโกน กาวินพันซ์ กาวินคัทเตอร์ กาิวินคิก ซ้ำไปซ้ำมา จนคณะกรรมการคนนึง คือ คุณเกริก ชิลเลอร์ ทนไม่ได้ ออกมาเคาะไล่ออกไป บอกว่า เล่นอย่างนี้ไปเล่นในซอยบ้านมึงไป๊... ผมรู้สึกสงสารเขานะ ผมเข้าใจในความตั้งใจของเขา แต่การแสดงมันยากเกินกว่าที่คนอื่นจะรับได้


ผลจากรายการวันนั้นทำให้ผมกลับไปเปิดลังหนังสือการ์ตูนเก่าสมัยเด็ก ที่ผมลืมไปนานแล้ว เพราะหน้าที่การงาน ความรับผิดชอบต่างๆ ทำให้เราลืมความฝันในวัยเยาว์ สมัยก่อนผมก็เป็นแฟนหนังสือ ทีวีไลน์ การ์ตูนทีวี เมจิคทีวี แต่มันหายไปซะส่วนมาก เหลืออยู่ไม่ถึงสิบเล่ม ภาพความหลังต่างๆ มันก็สะท้อนขึ้นมาวูบวาบเต็มไปหมด ผมชักรู้สึกอยากรู้จักหมอนั่น คนที่เรียกตัวเองว่า กาวินแมน

ผมโทรไปบริษัทเอกแซกต้นสังกัดรายการก๊องโชว์ เพื่อขอเบอร์ติดต่อคุณอ๊อด กาวินแมน เขาก็โอนกันไปโอนกันมา ได้เบอร์มือถือคุณแฟรงค์มาก็บอกจะติดต่อกลับ โทรไปอีกก็ปิดทิ้งบ้าง ไม่รับบ้าง จนผมรู้สึกว่าเกรงใจเขา ผมคงไปทำให้เขาเดือดร้อน เลยเลิกคิดที่จะติดตามหานายกาวินแมน

แล้ววันนึงผมก็มานั่งเล่นเน็ท ค้นไป ค้นมา ก็มาเจอเวบไทยโทขุ http://www.thai-toku.com ผมไล่อ่านไปเรื่อยๆ จนมาเจอเรื่องของกาวิน ผมก็ติดต่อคนที่พูดถึงเรื่องนี้ไปหลายคนทางอีเมล์ ลิงค์กันไปลิงค์กันมา จนได้เบอร์โทรศัพท์มาเบอร์หนึ่ง เข้าใจว่าเป็นโทรศัพท์แฟนเก่าเขา ผมโทรไป เขาก็ให้เบอร์ใหม่มา ได้คุยกะแฟนใหม่ในตอนนั้น เขาบอกว่า พี่อ๊อดไปข้างนอก กลับมาจะให้โทรกลับ

แล้วคุณอ๊อด กาวินแมนก็โทรกลับมา นัดผมไปคุยที่ซีคอน ผมไปตามนัด ไปเจอตัวจริง ผมรู้สึกดีใจมาก ที่มาเจอคนที่อุดมการณ์คล้ายกัน ผมพูดถึงฮีโร่ที่ผมชื่นชอบ เขาก็มีงานมาโชว์ เขาบอกถ้าผมทำอะไรเกี่ยวกับกาวินแมน เอาไปทำเลย เขาอยากให้คนทำกันเยอะๆ เขาอยากให้เมืองไทยมีฮีโร่เป็นของตัวเอง เป็นที่ยอมรับของคนทั่วไป ผมบอกเขาว่าผมอยากลองเอากาวินแมนมาทำอนิเมชั่นดู เขาบอกเอาเลย เราแลกเปลี่ยนเบอร์ติดต่อกัน แล้ววันนั้นก็แยกกันไป

สองสามวันต่อมา คุณอ๊อด กาวินแมน โทรมาหาผมบอกว่า อยากให้ผมมาร่วมสร้างโปรเจคที่ยิ่งใหญ่ ผมสงสัย โปรเจคอะไร เขาบอกว่า ตั้งแต่ทำมา เขายังไม่มีสัตว์ประหลาด เขาอยากได้สัตว์ประหลาด เขาคิดว่าผมทำได้ เมื่อเขามั่นใจอย่างนั้น ผมก็ลองทำดู เขาโทรมาวันเสาร์ เขาบอกว่าจะมีงานที่ต้องออกวันจันทร์ เพราะอาร์เอสเชิญเขาไปงานเปิดตัว The Park สวนสนุกผี
ถ้าอยากร่วมสนุก ก็ไปกัน คุยกันเป็นเรื่องราว ผมก็พลอยบ้าไปกะเขาด้วย

เย็นวันเสาร์ผมไปจตุจักรซื้อชุดหมี ซื้อยางพารามาจากศึกษาภัณฑ์ ลาดพร้าว สองสามขวด สำลี หมวกกันน็อค จำไม่ได้ว่าหมดเงินไปเท่าไร แต่ไม่มากนัก ลูกตาก็ลูกปิงปองผ่าซีก สีก็เท่าที่หาได้แถวนั้น สีพลาสติกบ้าง โปสเตอร์บ้าง ยำๆ กันไป เอาลวดขึ้นรูปที่หมวกเป็นหู ขยำกระดาษเป็นโครงใน หุ้มสำลี ทากาวลาเทก แล้วซัดโปะยางพาราทับ สนุกไปเรื่อยๆ คืนวันเสาร์ไม่ได้นอน ต่อวันอาทิตย์ แล้วก็เสร็จในคืนวันอาทิตย์ปล่อยตากพัดลมไป

วันจันทร์คุณอ๊อด กาวินแมน โทรมาแต่เช้า บอกว่าเรามีแผนที่จะไปเพิ่มอีกที่คือ ไปเยี่ยมคุณบิ๊ก ดีทูบี ขอเท้าความนิด คือก่อนหน้านี้ คุณอ๊อดแกเคยทำงานกับเฮียไฮ้สไปเดอร์แมนส่งแกส คงพอนึกออก แล้วพวกเขาเคยไปเยี่ยมบิ๊กดูทีบีกัน ครั้งนี้เป็นวันเกิดบิ๊กดีทูบี เราตั้งใจเข้าไปแสดงโชว์ที่ห้องคุณบิ๊กเลย พวกเราแต่งตัวกันบนรถเพื่อนคุณอ๊อด ที่อาสามาพาตระเวณ เราแต่งตัวในที่จอดรถ แล้วเข้าไปใน รพ.วิชัยยุทธ พอขึ้นลิฟท์เปิดประตูไป นักข่าวถ่ายภาพกันพรึ่บผับๆๆๆ ตาลายแฟรช พอจะเดินเข้าไปหน้าห้อง ทางทีมงานอาร์เอส ให้แค่มอบการ์ด มอบดอกไม้หน้าห้องเท่านั้น คุณอ๊อดแกเลยผิดหวังไป

เย็นวันจันทร์ แกก็พาผมในชุดสัตว์ประหลาดไปงานเปิดตัวหนังสวนสนุกผี แกคุยว่าแกรู้จักคนข้างใน พูดราวกับว่าคนระดับบริหารเชิญเขาไปร่วม แต่จากการที่ไปในวันนั้น ไม่มีใครสนใจซักคน เราเดินกันไป เขาก็มองแปลกๆ จะไล่ดี ไม่ไล่ดี ไม่แน่ใจ ซุบซิบกันว่าไอ้พวกนี้มาจากไหน เสร็จแล้วคุณอ๊อดในชุดกาวินแมน ก็เดินไปมอบดอกไม้ แล้วก็ใส่ชุดลงมาเดินเล่นข้างล่าง
ผมถามคุณอ๊อดว่า ใครเชิญคุณน่ะ คุณอ๊อดเฉลยว่า ไม่มีใครหรอก มีคนเขาบอกกันต่อๆ มา เลยเข้ามาเล่นๆ หาคนที่ชอบฮีโร่เหมือนๆ กัน

วันนั้นก็เลยเป็นต้นกำเนิดของสัตว์ประหลาดที่ยังไม่มีชื่อตัวนึง มาเริ่มตั้งชื่อเอาก็ตอนที่คุณอ๊อดแกไปติดต่อรายการอยากได้จัดให้ ช่องสาม แล้วทีมงานถามว่า สัตว์ประหลาดชื่ออะไร เลยตั้งส่งเดชไปว่า แมงกะโปน


อย่าถามที่มาของชื่อเลย พูดไปก็เหมือนมั่ว คงเป็นเพราะตาที่มาจากลูกปิงปอง ตาเลยโปน ก็เป็นตัวอะไรโปนๆ ประมาณเนี้ยครับ ตอนรายการอยากได้จัดให้ ก็เปลี่ยนสีดำที่หัวและลำตัวมือเท้าไป

จากนั้นตอนไปออกรายการเอ๊กเจนคลับ ก็กลายเป็นสีดำล้วน แต่ยังไม่มีหาง

ต่อมาก็มีหาง กลายเป็นแมงกะโปนคลาสสิคที่ใช้งานมาอย่างโชกโชนถึงสามปีกว่า ผ่านการบุกตลุยทั้งถ่ายหนัง ออกรายการ คอสเพล์ เดินเล่นตามถนน เข้าไปในกลุ่มผู้ชุมนุมประท้วง ลองมาแล้ว ทุกอย่างตามที่เคยเขียนไว้ในบันทึกแมงกะโปน ในเวบเก่า แต่ต้องลบทิ้ง เพราะประวัติพวกนั้นมันยาวมาก และหลายคนก็คงอ่านกันเบื่อแล้ว

ตอนชุดแมงกะโปนพัง ก็คิดว่าจะเลิกทำ แต่ก็ยังมีคนติดต่อโน่นนี่มาประปราย ก็ค่อยๆ ทะยอยหยุด เพราะงานที่ผมทำอยู่นี่ มันไม่ใช่งานที่จะมีรายรับเหมือนคนทั่วๆ ส่วนใหญ่มันจะเป็นงานฟรี ซึ่งไม่มีใครในครอบครัวผมที่เขาสนับสนุนตรงนี้ หากเราจะดันทุรังเพราะใจรัก ก็คงไปไม่รอด เลยต้องลดจากงานหลักมาเป็นงานอดิเรกไปในที่สุด

และแล้วพัฒนาการล่าสุดของชุดแมงกะโปนก็เสร็จ แบบช้ามากๆๆ ไม่น่าเชื่อว่าตัวแรกทำแค่สองวัน แต่ตัวล่าสุดนี่ใช้เวลาอยู่หลายเดือน เพราะขี้เกียจมากๆ